[review] รีวิว อินเดีย แบกเป้ใบใหญ่ไปอินเดีย New Delhi | Leh Ladakh | Kashmir EP.1

 
 
 

ก่อนอื่น...ต้องขอขอบคุณ ที่เข้ามาอ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้นะครับ
.
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังเกิดจากการเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียในวันที่ 4-13 กันยายน 2558  โดยเป้าหมายหลักของการเดินทางทริปนี้ (แผนเดิม) อยู่ที่ Leh Ladakh และ Manali โดยนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปที่ New Delhi > แล้วต่อเครื่องไปที่ Leh Ladakh เที่ยวเมืองต่างๆรอบๆ Leh Ladakh ด้วยการเหมารถเช่า > แล้วนั่งรถโดยสารไป Manali เที่ยวรอบๆ Manali > แล้วต่อรถกลับ New Delhi ไปเยี่ยมชม Taj Mahal > และบินกลับกรุงเทพฯ
.
แต่บางอย่างไม่เป็นไปตามแผน(ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป) ทำให้ทีมเราต้องเปลี่ยนแผนจากการนั่งรถโดยสารไป Manali เป็นการเหมารถเช่าไปเที่ยวที่ Kashmir และบินกลับ New Delhi แทน
.
ภาพบางส่วน(หลัก) มาจากกล้องผมเอง
และขอบคุณภาพบางส่วนจาก เพื่อนร่วมทริป @Tao Attapol  @Pornthep Patanapanitkun @Nataya Phanawan
.
ปลายปีที่แล้ว ผมเห็นรุ่นพี่คนนึงโพสภาพตัวเองในเฟสบุ๊ค ในภาพ...นางยืนอยุ่ท่ามกลางภูเขา อากาศหนาวๆ มีหิมะเป็น
พื้นหลัง ดูแล้วคล้ายๆกับส่วนใดส่วนหนึ่งของยุโรปเลย  จากการเข้าไปคอมเม้นท์ถามก็ได้ทราบว่าจริงๆแล้วที่ที่นางถายรูปนั่น คือส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย และสถานที่ในรูปก็คือ Pangong Lake @Ladakh, Kashmir and Jammu, India

ผมแปลกใจและตื่นตากับวิวที่ได้เห็นมาก เพราะมันแตกต่างกับคำว่าอินเดียในความคิดเดิมๆที่ผมเคยได้ยินได้เห็นมาไปหมดเลย ผม google เรื่องราวของ Leh Ladakh อยู่พักใหญ่ และก็รู้สึกว่าอยากจะไปเห็นกับตา อยากไปอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นบ้าง  ผมเลยไลน์หาพี่คนนี้และคุยเรื่องราวของการไปเที่ยวที่อินเดีย ก็เลยรู้ว่านางไปเที่ยวอินเดียหลายทริปแล้ว เริ่มจากไปเที่ยวเองก่อน จนได้พาคนอื่นไปเที่ยวเพราะมีระสบการณ์ ข้อมูล และเครือข่ายมากพอสมควร 
.
“ปีหน้าไปมั้ยล่ะ” นางชวนผมไปเที่ยวอินเดียล่ะ

ผมคิดและตัดสินใจไม่นานก็ตอบตกลง แล้วการเริ่มต้นของทริปก็เริ่มขึ้น (โดยมีนางเป็นหัวหน้าทริป) และนางก็รับหน้าที่ชวนคนอื่นๆไปเที่ยวด้วยกันเพื่อให้ได้ 6 คน เพราะจะได้ลงตัวกับจำนวนที่นั่งเวลาเหมารถเช่า และการจัดห้องนอนเวลาเข้าที่พัก  ประมาณต้นปีนี้เอง จำนวนสมาชิกก็ครบ สรุปว่าได้สมาชิกทั้งหมด 7 คน ผมชวนเพื่อนไปด้วยคนนึง  และนางชวนคนมาได้อีก 4 คน
- กำหนดการที่ได้จากการเช็คราคาตั๋วระหว่างประเทศและภายในประเทศที่ดีสุดคือ  4-13 กันยายน 2558
- ราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ 17,xxx บาท ต่อคน  Bangkok-New Delhi เดินทางด้วย Jet Airways ทั้งไปและกลับ  New Delhi-Leh Ladakh เดินทางด้วย GO Air
- ค่าทริป (หมายถึงค่าที่พัก ค่าเดินทางด้วยรถเช่าในดินเดีย ค่าธรรมเนียมเข้าชมสถานที่ ค่าอาหารบางมื้อ) 20,000 บาท


[4 กันยายน 2558]

Bangkok-New Delhi เครื่องออกบ่าย 2 สองโมง โดย Jet Airways แต่ทีมเรานัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ 11 โมงเพื่อเคลียร์เรื่องเอกสาร ส่งมอบเงินที่ฝากแลก และที่สำคัญมาพบปะพูดคุยกันก่อนจะร่วมชะตาชีวิตกันกว่า 10 วัน เพราะพวกเราบางคนไม่เคยเจอหน้าตากันตัวเป็นๆมาก่อน อาจจะเคยคุยกันในไลน์กลุ่มแต่ก็มาเจอตัวเป็นๆกันในวันนี้แหละ
.
การเดินทางครั้งนี้ทุกคนใช้กระเป๋าเป้ใบใหญ่กันคนละใบ และกระเป๋าใบเล็กส่วนตัวอีกคนละใบ การเดินทางที่จะต้องเคลื่อนย้ายบ่อยๆในเมืองที่เราอาจจะไม่ได้รับความสะดวกเท่าไหร่ การสะพายเป้จะเป็นการเดินทางที่คล่องตัวมากกว่าการ
ลากกระเป๋าเป็นแน่นอน  คืนก่อนจะถึงวันเดินทางผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย จำได้ว่านอนน้อยมาก นอนไม่กี่ชั่วโมงเองก็ต้องตื่น  เริ่มจัดกระเป๋าตอน 9 โมงเช้า หยิบๆจับๆม้วนๆยัดๆใส่กระเป๋า ตามที่ทำรายการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  เสร็จสรรพไปถึงสนามบิน 11 โมงนิดหน่อย
.
สรุปรายการเอกสารหลังจาก check in และเตรียมจะ boarding
- หนังสือเดินทาง (Passport) อันนี้ไม่น่าจะมีใครลืมนะ
- วีซ่า (Visa) เดี๋ยวผมจะทำรีวิวการขอวีซ่าในอีกกระทู้นึงนะครับ วีซ่าอินเดียมีอายุ 6 เดือนครับ และสามารถเข้าประเทศได้ 2 ครั้ง
- บัตรขาออก (Departure Card) ของ ตม. ไทย ได้จากพนักงานเช็คอิน
- Declaration form สำหรับขาเข้าอินเดีย ได้จากพนักงานเช็คอิน
- Boarding Pass
- ประกันการเดินทาง (ปกติผมไม่เคยทำเลยนะ แต่ทริปนี้แอดเวนเจอร์มากๆ เลยทำเผื่อไว้หน่อย ไม่กี่ร้อยเอง)
พอขึ้นเครื่องความรู้สึกก็เหมือนว่าอยู่อินเดียแล้วยังไงยังงั้นเลย ผู้โดยสารประมาณ 90% เป็นคนอินเดีย 5% คนไทย อีก 5% เป็นชาติอื่นๆ เท่าที่สังเกตจากรูปพรรณสัณฐาน คนอินเดียก็เจี๊ยวจ๊าวพอๆกับคนจีนเลยแฮะ ตะโกนข้ามหัวไปข้ามหัวมาจนเครื่องออก
เครื่องออกจากสุวรรณภูมิได้ไม่นานก็มีการเสิร์ฟอาหารว่างครับ  ผมคิดในใจว่าจะเสิร์ฟถั่วหรือเปล่าน๊า...เพราะเห็นแขกในบ้านเราเค้าชอบขายถั่วกัน แต่ปรากฏว่าเสิร์ฟขนนมถุงเล็กๆกับน้ำผลได้ แกะออกมาหน้าตาประมาณนี้ครับ รสชาติคล้ายๆมาม่าดิบเลยอ่า
แอร์และสจ๊วตของสายการบินนี้ท่าทางจะเชื้อสายแขกทั้งหมดเลย หน้าตาคมๆสวยๆหล่อๆทั้งนั้นเลย  แต่สิ่งที่แปลกมากคือผมไม่ได้ยินเสียงประกาศจากกัปตันเลยแฮะ ปกติสายการบินอื่นยังได้ยินประกาศทักทายผู้โดยสารจากห้องกัปตันบ้างไง
.
ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาเสิร์ฟอาหารครับ ผมนี่ลุ้นมากว่าจะเป็นอาหารอินเดียหรือเปล่า เพราะยอมรับว่าถ้ามาแบบเครื่องเทศแน่นกลิ่นแรงผมก็ไม่ไหวนะ แล้วแอร์สาวก็เข็นตู้อาหารเดินมาถึง ก็ถามสั้นๆเลย “Chicken or Fish” คือมีไก่กับปลา จะรับอะไรดีคะ  ผมเลือกปลาเพราะคิดว่าปลาน่าจะมีโอกาสปรุงแบบอินเดียน้อยกว่าไก่ล่ะนะ แล้วก็ได้อาหารหน้าตาแบบนี้ รสชาติไม่ต่างจากอาหารไทยเท่าไหร่ครับ คล้ายๆห่อหมกทะเล มีกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ แล้วเม็ดข้าวก็ไม่แข็งมากเกินไป
การเดินทางจากรุงเทพฯถึง New Delhi ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครับ ผู้โดยสารอินเดียหลายคนสั่งเบียร์สั่งวิสกี้จิบตลอดเส้นทางเลย สิ่งบันเทิงบนเครื่องก็เหมือนจะเอาใจคนอินเดียเต็มที่เลย หนังแขก เพลงแขก แต่ก็มีเพลงสากลให้ฟังอยู่บ้าง 2-3 ช่องครับ พอให้แก้เบื่อได้บ้าง
ช่วง 2 ชั่วโมงหลังอาหารก่อนจะถึง New Delhi มีเรื่องให้ตื่นเต้นครับ จู่ๆอากาศในห้องโดยสารก็ร้อนขึ้นมา ร้อนมากจนมีผู้โดยสารหลายคนตะโกนถามพนักงานว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ อากาศร้อนอยู่ประมาณ 10 นาทีก็กลับมาเย็นขึ้น แต่คราวนี้เย็นจนหนาวเลยครับ ผู้โดยสารขอผ้าห่มกันหลายคนเลย แต่อยู่ดีๆมันก็กลับมาร้อนขึ้นมาอีก ร้อนเหมือนรอบแรกในระยะเวลาเท่าๆกันก็กลับมาหนาวอีก เป็นอย่างนี้อยู่ 3 รอบก็กลับมาสู่อุณหภูมิปกติ  ขอบอกว่า...กระนั้น ก็ยังไม่ได้คำตอบใดๆจากพนักงาน ไม่มีเสียงประกาศใดๆจากห้องกัปตัน
.

กว่า 4 ชั่วโมงของการเดินทางผ่านไป เราก็เตรียมลงสนามบิน Indira Gandhi International Airport สนามบินนานาชาติของ New Delhi เมืองหลวงของประเทศอินเดีย ก่อนเครื่องจะลงจอดพนักงานก็แจกเอกสารสำหรับขาเข้าประเทศอินเดียอีก 1 ใบ ใช้เวลากรอกเยอะเหมือนกันเพราะงงกับคำถาม แต่ตอนผ่าน ตม.อินเดีย จริงๆแล้วเค้าแทบไม่ได้ดูเอกสารนี้เลยแฮะ

 
ประทับใจห้องน้ำที่สนามบินก็ตรงป้ายบอกห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิงนี่แหละครับ เค้าใช้รูปผู้ชาย ผู้หญิงแต่งชุดอินเดียทำหน้าตายิ้มตอนรับดีมากเลย

 
และแล้วทุกคนก็ผ่านพิธีการ ตม. ประเทศอินเดียโดยไม่ติดปัญหาอะไรเลย ที่สนามบิน Indira Gandhi International Airport ไม่อนุญาตให้คนที่จะมารับเข้าไปในสนามบินนะครับ เราต้องขนกระเป๋าเดินทางมาด้านหน้าประตู แล้วมานัดเจอกับรถที่จะมารับเราไปโรงแรมข้างนอกอาคาร
ผมสังเกตเห็นป้ายเส้นทางไปรถไฟฟ้าด้วยครับ แต่ทริปนี้เรามีรถมารับไปโรงแรมที่พักเลยไม่ได้ใช้รถฟฟ้า จริงๆก็อยากจะลองมีประสบการณ์เหมือนกันนะ เลยคุยกันในกลุ่มว่าขากลับถ้ามีเวลาช่วงรอเครื่องกลับกรุงเทพ จะนั่งรถไฟฟ้าเที่ยวใน New Delhi กัน
 
บรรยากาศที่จอดรถด้านนอกสนามบินครับ ที่จอดเรียงกันอยู่ น่าจะเป็นแท็กซี่
บ่าย 5 โมงกว่าๆ เราออกจากสนามบินเพื่อที่จะไปโรงแรมที่จองไว้ ในระหว่างทางวางเราแผนว่าจะแวะถ่ายรูปที่ India Gate สักหน่อย เพราะเป็นทางผ่านพอดี แต่ว่าการจราจรก็ย่ำแย่มากๆ หลุดจากสนามบินมาได้นิดหน่อยรถก็ติดหนัก ติดพอๆกับกรุงเทพฯเลย นั่งในรถจนทุ่มกว่ายังไม่ถึงโรงแรม ก็เลยงดแวะถ่ายรูปที่ India Gate ครับ ได้แต่นั่งรถผ่านแล้วคนขับรถก็ชี้ให้ดูว่า "This is India gate" ฮ่าๆ กลายเป็นชะโงกทัวร์กันเลยทีเดียว
การขับรถในอินเดียมันดูเครียดสมกับคำล่ำลือจริงๆ เสียงแตรดังตลอดเวลา ขับรถกันหวาดเสียวมาก ปาดซ้าย แซงขวา บีบแตรไล่กันวุ่นวายไปหมด สภาพรถแต่ละคันเต็มไปด้วยร่องรอยประสบการณ์เฉี่ยวชน บางคันพับกระจกมองข้างด้านซ้ายเลยอ่ะ เวลาแซงก็แบบว่าห่างกันแค่ 2 เซ็นติเมตร ผ่านฉลุย
.
เรามาถึงโรงแรมตอนหัวค่ำหน่อยครับ เข้าไปเช็คอิน เก็บของ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ออกไปเดินตลาดในเมือง ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ สามารถเดินไปได้ใน 5-10 นาที แต่บรรยากาศข้างทางก็แปลกตาดีครับ ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนข้างถนน คนไม่มีบ้านที่อาศัยนอนตามที่สาธารณะยังมีเยอะมากในอินเดีย
 

 
ถัดจากย่านคนไร้บ้านไปนิดหน่อยก็เริ่มเข้าสู่ตลาด เราเดินผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นไปก็อดสงสารไม่ได้ พวกเค้ามองจ้องพวกผมที่เดินผ่านไป บางคนก็ยื่นมือมาขอทาน
คนที่เดินถือของขายตามถนนพวกนี้เขาขายเก่งมาก ตื้อเก่งมากครับ ถ้าได้สบตากับพวกเค้านะ รับรองว่าเดินตามตลอดเลยครับ จะขายให้เราให้ได้เลย สินค้าที่เอามาขายก็เป็นของใช้สารพัดอย่างครับ ของส่วนมากก็น่าจะเป็นของก๊อบ แต่สาวๆในกลุ่มเค้าตั้งใจจะมาซื้อชุดส่าหรีครับ เอาไว้แต่งอินเดียระหว่างทริปเพื่อเป็นสีสัน

พวกเราเดินตามๆกันทั้งกลุ่มได้สักพักก็แยกย้ายเป็นกลุ่มย่อยตามความสนใจของแต่ละคนครับ แล้วนัดเวลากันมาเจอที่ร้านอาหารเพื่อทานอาหารเย็นกัน ร้านนี้คนไทยหลายคนชอบมากินครับ ผมเห็นฝรั่งก็นั่งกันอยู่หลายโต๊ะทีเดียว อาหารที่สั่งมาก็ไม่เน้นอิ่มเท่าไหร่ (เท่าที่ดู) จะออกแนวกับแกล้มมากกว่านะ เพราะว่าคืนนี้เรามีปาร์ตี้อาหารไทยที่หัวหน้าทริปเตรียมมา ซีฟู๊ด น้ำพริก มาครบ สั่งแค่ข้าวจากโรงแรมเท่านั้น
 
 
ว่ากันว่ามาอินเดียต้องลองเบียร์ยี่ห้อ King Fisher (และต้องแบบ Strong เท่านั้น)
 
กินดื่มกันที่ร้านนี้เสร็จ ก็กลับไปปาร์ตี้อาหารไทยกันต่อที่โรงแรม กว่าจะได้อาบน้ำเข้านอนก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เราต้องตื่นกันตี 3 ครับ เพื่อเดินทางไปเช็คอินตอนตี 5 เพื่อต่อเครื่องไปยัง Leh Ladakh และคืนนี้ผมก็นอนน้อยอีกแล้ว


[5 กันยายน 2558]

ไฟล์ทที่จะเดินทางจาก New Delhi ไป Leh Ladakh จะออกเช้ามากครับ และผู้โดยสารช่วงเช้าที่สนามบินค่อนข้างแน่น โชคดีที่เรามาถึงเร็วหน่อย ก็เลยจัดการเช็คอินได้เร็ว ไม่ต้องเสี่ยงตกเครื่อง เอาเวลาไปนั่งเล่น เดินดูของตอนรอ boarding ดีกว่า 
 
พนักงานที่เค้าท์เตอร์เช็คอิน GO Air สวยอ่ะ  หน้าตาประมาณคนเลห์ ลาดัค (หัวหน้าทริปบอก) 
หลังจาก check in เรามีเวลาเหลือเยอะมากกว่าจะถึงเวลา boarding สำหรับคนชอบ shopping ก็มีร้านค้าให้เลือกเสียตังค์ไม่น้อยเลยครับ แต่ผมแนะนำร้านขายสินค้ายี่ห้อ Himalaya herbal เลยครับ มีสินค้าตั้งแต่ครีม โลชั่น ยาสมุนไพร ใช้ดมใช้ดา สารพัดอย่าง สำหรับใครที่ไม่ได้เอาครีมกันแดด ครีมกันผิวแห้งแตกมา แวะซื้อได้เลยครับเพราะเวลาไปอยู่ที่ Leh Ladakh อากาศจะหนาวและแห้ง อาจจะถึงกับแสบผิวได้
.
คอกาแฟก็มีแบรนด์ Starbucks ให้ได้เติมความสดชื่นยามเช้านะครับ กาแฟร้อนๆ แซนด์วิชสักชิ้น ก็วิเศษมากๆสำหรับมื้อเช้า อภินันทนาการจากหัวหน้าทริป นางจัดเสื้อทีมมาให้ด้วย พร้อมสกรีนเสร็จสรรพ  ตอนใส่แรกๆก็เขินนะ แต่มันก็มีประโยชน์ดีนะครับ  เวลาพนักงานเห็นชุดเหมือนกันเค้าก็เรียนมา check in กลุ่มเลย อำนวยความสะดวกรวดเร็วดีครับ เห็นเราครื้นเครงกันมากหน่อยคนอินเดียก็เข้ามาถามครับ "Where do you come from?" "You're from China?" สงสัยมากว่าหน้าจีนกันตรงไหนถึงได้คิดว่าพวกเราเป็นทัวร์จีน 555


ได้เวลา 6 โมงกว่าแล้วฟ้าก็เริ่มสว่าง เราก็เตรียมขึ้นเครื่อง 

เส้นทางจาก New Delhi ไป Leh Ladakh จะบินผ่านทิวเขาสลับซับซ้อน  ว่ากันว่าถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะเกาะยอดเขา มองจากหน้าต่างเครื่องบินจะเห็นวิวที่สวยมาก นับว่าเป็นไฮท์ไลท์อย่างนึงของการเดินทางไป Leh Ladakh ด้วยเครื่องบินครับ
 
ใช้เวลาบินประมาณ 1:30 ชั่วโมงเราก็มาถึงสนามบิน Leh Kushok Bakula Rimpochee Airport ตอนนี้เริ่มสัมผัสได้ถึงอากาศหนาว รู้สึกตื่นเต้นแล้วล่ะ ที่ได้มาถึง

 
เราใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับเพื่อเดินทางไปยังเกสท์เฮ้าส์ ซึ่งทางเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ติดต่อไว้ให้ครับ พอเครื่องลงเค้าก็มารอรับเลย  คนขับชื่อ Arje ซึ่งเป็นคนที่จะดูแลการเดินทางท่องเที่ยวของพวกเราตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเขต Ladakh
จากสนามบินนั่งมองบ้านเมือง Leh Ladakh เพลินๆ ก็มาถึงเกสท์เฮ้าส์ที่เราจะไปพักกันแล้วครับ REE YUL GUEST HOUSE คือชื่อของบ้านที่เราไปพักครับ  เจ้าของที่นี่ชื่อ Saleem น่ารักมาก เป็นกันเอง และดูแลเราเป็นอย่างดี ที่เกสท์เฮ้าส์มีพนักงานอยู่คนนึงชื่อ Santus มาจากทางใต้ของอินเดีย คนนี้ก็บริการดีมาก คอยทำไข่เจียวมาให้ คอยเอาน้ำร้อนมาให้ เก็บถ้วยจานชามแก้วน้ำไปทำความสะอาดให้ตลอด
หน้าตาอาหารบ้านเรือนใน Leh Ladakh จะประมาณนี้ครับ ผนังหนา หน้าต่างมิดชิดเพราะต้องป้องกันอากาศหนาว ในฤดูหนาวอุณหภูมิอาจจะตกไปถึง -20 องศาเซลเซียสเลย
Leh Ladakh อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากว่า 3,000 เมตรครับ คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงจะแนะนำให้นอนพักผ่อนเพื่อประสภาพความดัน  อากาศมีออกซิเจนเบาบางกว่าปกติ นักท่องเที่ยวอาจจะมีอาการ Altitude Sick หรืออาการแพ้ความสูงได้ง่าย การเดินการเคลื่อนไหวต้องทำอย่างช้าๆเพราะอาจจะหน้ามืดหรือวิงเวียนได้ ความดันที่นี่คงต่ำมากครับ สังเกตจากอาหารห่อๆที่เอามาจากเมืองไทยมันจะพองขึ้น บางห่อก็แตกเลยครับ ได้ยินเสียงปังๆเป็นระยะๆ
.
พวกเราพักดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ทานอาหารเบาๆที่ทางเกสท์เฮ้าส์เตรียมมาให้ด้วย และที่เตรียมมาเองด้วย แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมเองก็นอนน้อยมา 2 คืนแล้ว แต่แปลกมากที่นอนไม่หลับเลย แอบมีอาการหัวใจเต้นแรงเวลาเดินเร็วๆเหมือนกัน
.
Saleem ออกไปติดต่อทำใบผ่านแดนให้พวกเราสำหรับทริปของวันพรุ่งนี้ และช่วงบ่ายวันนี้เราก็จะมีไปออกทริปใกล้ๆในตัวเมือง Leh

ผมขอจบตอนที่ 1 ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ



ได้โปรดติดตามตอนที่ 2 : Leh Ladakh | Khardung La Pass | Nubra Valley | Disket Gompa [จากลิงค์นี้]
ได้โปรดติดตามตอนที่ 3 : Leh Ladakh | Kashmir | Pahalgam | [จากลิงค์นี้]

 
Created date : 18-11-2015
Updated date : 18-11-2015
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : iHereGo

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles