[article] “ลุงก่ำ” ฅนเก็บขยะหัวใจสูง ตอน 2

 
 
 
          ทุกวันนี้เราทุกคนที่อยู่ในโลกออนไลน์ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามพวกเราเป็นทางผ่านของพลังงานบวก(เรื่องดีๆ) และ พลังงานลบ(เรื่องแย่ๆ ความกลัว ดราม่า ความรุนแรง ด่าคนอื่น ตัดสินคนอื่นๆ ฯลฯ) ตลอดเวลา ผ่านทางเฟสบุค ไลน์ IG และอื่นๆ  

บวก กับ ลบ แบบไหนไปเร็วกว่ากัน???

คำตอบชัดเจนที่ทุกท่านก็คงรู้ว่าปัจจุบันนั้น "พลังลบ" ถูกส่งต่อในปริมาณมากและรวดเร็วแบบสุดๆ

 
          พลังงานลบหมุนเวียนอยู่ในระบบโซเชียลมีเดียเป็นปริมาณมากมายมหาศาล ด้วยเหตุผลเพราะเราเชื่อว่าเนื้อหาพลังลบเป็นเรื่องสำคัญต้องให้คนอื่นให้เพื่อนให้ญาติรู้ เพื่อให้ระวังตัว เพื่ออัพเดทข่าวคนที่เราเกลียด เพื่อความยุติธรรม บางทีก็เพื่อการเติมเต็มในห้วงใจที่ขาดความรักของตนเอง  และอื่นๆอีกมากมาย   ที่พูดมาทั้งหมดแน่นอนครับ......ผมก็เป็นเช่นกัน

          ในอดีต...ผมรับส่งพลังงานลบอย่างเมามันจนผมเริ่มเหมือนเสพย์ติดพลังงานลบ ผมขาดมันไม่ได้ แต่ที่ตามมาติดๆคือขณะที่ผมส่งเรื่องลบๆ อย่างหมกมุ่น ผมยิ่งไม่มีความสุข ผมยิ่งหงุดหงิดง่าย เรื่องซวยๆ ก็ยิ่งเข้ามาหาผม ในหัวก็มีแต่ความกลัวไม่มั่นใจ และลำธารน้ำใจของผมก็แคบลงจนแทบไม่มีน้ำใจไหลออกมามอบให้แก่ผู้ใด 

         บางครั้ง...พอผมได้พบเรื่องดีๆพลังงานดีในโลกโซเชียล เหมือนดั่งได้พบโอเอซิสทางใจ  ทุกครั้งที่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นผมน้ำตาซึมร้องไห้ซาบซึ้ง  มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม จนรู้สึกอยากลุกขึ้นมาทำและส่งต่อเรื่องดีๆกับเค้าบ้าง   แต่...ตอนนั้นผมเสพย์พลังงานด้านลบอย่างเหนียวหนึบจนไม่มีแรงและความกล้ามากพอที่จะดึงตัวเองขึ้นมาเบ่งพลังงานดีๆ ส่งเรื่องดีๆ ส่งแรงสั่นสะเทือนที่มากพอให้คนอื่นรู้สึกดีๆได้  ผมได้แค่อยากทำแทบใจจะขาดตลอดมา

         แล้วเหตุการณ์หนึ่งก็เกิดขึ้น วันหนึ่งผมได้ทราบว่า "ลุงก่ำ" ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพรักมาก ได้จากไปแล้ว ที่ผ่านมาท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ผมในด้าน การคิดบวก การให้ การเห็นคุณค่าในตนเอง ความขยันหมั่นเพียร มองโลกในแง่ดี ฯลฯ   ผมเองในอดีตเคยสัญญากับท่านว่าจะนำเรื่องของท่านไปเผยแพร่ทางใดทางหนึ่งให้ได้ ซึ่งขณะนั้นผมก็ยังไม่ได้เผยแพร่ใดๆ เลย    นั่นคือวันที่ผมมีความรู้สึกสะเทือนใจและเกิดความมุ่งมั่นเข้มข้นเข้มแข็งมากพอที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเอาชนะพลังงานลบที่สะสมมา เพื่อลุกขึ้นบอกเล่าเรื่องดีๆ

          แล้วโอกาสก็มาถึงผมได้รับโอกาสจาก Pantae.com ในการเริ่มเขียนบทความในโลกออนไลน์ของผมเอง  ความตั้งใจแทบจะทันทีของบทความแรกในชีวิตของผมก็คือ  ต้องทำให้คำพูดและวิถีของ "ลุงก่ำ" ยังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในโลกโซเชียลนี้ต่อไป เป็นอีกหนึ่งแสงสว่างที่คอยส่งพลังงานบวกให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เข้าใจชีวิต ได้เห็นความเท่ห์ ของคนตัวเล็กธรรมดาแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนให้ผู้คนได้มากมายตลอดชีวิตของท่าน ซึ่งบทความแรกผมก็เขียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเรื่อง >>>บทยกย่อง "ลุงก่ำ" ฅนเก็บขยะใจสูง ผู้สร้างแรงบันดาลใจแห่งการให้ และการเห็นคุณค่าในตนเอง<<<
.
.
.
.
ผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ 
"ลุงก่ำ" ฅนเก็บขยะใจสูง ตอน 2 ครับ

 
          หลังจากบทความแรกของ "ลุงก่ำ" ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ผลตอบรับเชิงปริมาณถือว่าไม่ได้ขยายออกไปในวงกว้างมากนัก แต่ในเชิงคุณค่านั้นเกิดสิ่งมหัศจรรย์ ขึ้น   ทุกท่านคงเคยได้ยินเรื่องกฏแรงดึงดูดมาบ้างว่า สิ่งดีๆจะดึงดูดสิ่งดีๆ  สิ่งแย่ๆก็จะดึงดูดสิ่งแย่ๆ ผมเคยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอารมณ์แบบว่า "ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่" (คำยอดฮิตที่ทุกความสงสัยจะจบลงด้วยคำนี้)         แต่ท่านผู้อ่านครับ ขณะที่ผมเขียนบทความของลุงก่ำนั้นผมขนลุก ซาบซึ้ง ทุกคำผมเขียนมาจากใจ รีดเค้นความรู้สึกออกมา ผมพยายามสื่อความรู้สึกดีงาม งดงาม ซาบซึ้งที่สุดออกมาผ่านตัวอักษร นั่นเป็นงานเขียนแรก และเป็นงานเขียนหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขเหลือเกินในชีวิตเหมือนได้ระเบิดความรู้สึกดีๆ ออกมาจากหัวใจ
 
แล้วสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผมมันก็เกิดขึ้น 
 
          หลังจากมีการแชร์ส่งต่อเรื่องลุงก่ำออกไปในกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกัน ซึ่งเพื่อนผมที่ ม.ศิลปากร ฝั่งทับแก้ว นั้นหลายๆคนรู้จักท่านดี ก็ส่งต่อกันด้วยความรู้สึกคล้ายๆกัน คือรักและเคารพ เสียดายที่ท่านจากไปอย่างกระทันหัน เมื่อเกิดการแชร์สักระยะหนึ่งก็มี inbox เข้ามาทางแฟนเพจ X small Good ซึ่งคนที่ติดต่อเข้ามาคือ หลานของลุงก่ำครับ
  
          เหตุการณ์บังเอิญแบบไม่บังเอิญที่เกิดขึ้นนี้ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำครับว่าคือ "สิ่งมหัศจรรย์" สำหรับผม การคุยใน inbox สั้นๆครั้งนั้น  ผมร้องไห้ออกมา ร้องไห้จริงจังมาก ซาบซึ้งดีใจมาก มันคือการปลดล็อค  และเชื่อเลยว่า "กฏแรงดึงดูด" มีจริง  ผมรู้สึกเลยว่า
 
หลานลุงก่ำได้ถูกเลือกที่จะเป็นผู้รับสาร  ตั้งแต่ผมเริ่มต้นเขียนบทความแล้ว
         
          ขอเล่าย้อนไปนิดนึง วันที่ผมทราบว่าท่านเสียชีวิต คือวันที่ผมแวะไปสวัสดีท่านที่บ้านพักในมหาวิทยาลัย เมื่อไปถึงบ้านท่านก็ไม่มีใครอยู่แล้ว และเพื่อนบ้านก็บอกว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว ผมเลยไม่สามารถติดต่อครอบครัวท่านได้เลย ซึ่งผมอยากจะไปเคารพท่านอีกสักครั้ง อยากนำรูปของท่านที่ผมเคยตามติดชีวิตท่านเพื่อถ่ายรูปส่งงานวิชาถ่ายรูปสารคดี ไปให้ครอบครัวท่าน  แต่ทั้งหมดผมไม่สามารถทำได้เลย เพราะไม่รู้จะติดต่ออย่างไร แต่เพราะบทความนี้แหละครับ ที่ทำให้ความตั้งใจผมได้เป็นจริงแล้ว 
 
          หลังจากที่หลานลุงก่ำติดต่อมา ผมก็ได้ติดต่อกันเป็นระยะ และผมก็ได้รับเชิญจากครอบครัวลุงก่ำไปร่วมทำบุญครบรอบการจากไป 4 ปี ของลุงก่ำซึ่งผมก็ตอบรับอย่างไม่ลังเลด้วยความดีใจ    ผมจึงได้ไปพบครอบครัวลุงก่ำเมื่อ ปลายปีที่แล้ว (2558) ไปทำบุญที่บ้านครอบครัวท่าน และตั้งใจจะมอบรูปถ่ายที่ผมถ่ายไว้ให้กับครอบครัวลุงก่ำด้วย
 
"สวัสดีครับ และแล้วก็ได้พบกันสักทีครับ ผมดีใจมากๆ"
นั่นคือคำพูดแรกที่ผมกล่าวเมื่อเจอครอบครัวของท่าน

 
          การพบกันที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนญาติกัน  โดยมีสายสัมพันธ์คือความดีงามของลุงก่ำเป็นตัวเชื่อม ทำให้ผมมีอะไรคุยได้อย่างลื่นไหลได้มากมาย พูดได้ว่าความดีงามคำสอนของลุงก่ำไม่มีวันตายจากไปจริงๆ   ผมก็เพิ่งทราบว่าในงานศพของลุงก่ำ มีแขกผู้ร่วมงานเป็นผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยหลายท่านให้เกียรติร่วมงาน และเป็นเจ้าภาพ  ผู้ใหญ่ทุกท่านพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่า "เราชอบลุงเขา เขาน่ารักนิสัยดี รู้สึกเสียดายที่คนดีๆ จากไป"
 
นั่นล่ะครับ คือคุณค่าของคน ในวันที่เขาจากไปแล้ว ยังมีคนคิดถึงและทำอะไรเพื่อเขาอีกไหม นี่คืออีกหนึ่งตัวชี้วัดครับ

          ผมทำบุญอย่างอิ่มเอมใจและระลึกถึงความดีงามของลุงก่ำตลอดวันนั้น  ผมได้มอบแผ่นซีดีที่บรรจุรูปลุงก่ำขณะทำงานเก็บขยะอย่างภาคภูมิใจให้กับครอบครัวท่าน และผมก็ดีใจมาก เมื่อได้ทราบว่าลุงก่ำได้พูดถึงผมเป็นระยะตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่  และก่อนที่ผมจะมาในวันนี้ผมเป็นที่รู้จักของคนในครอบครัวในฐานะ "พ่อหนุ่มคนนั้นที่เขียนถึงตา" ทำไมถึงรู้จักกันนะเหรอครับ ก็เพราะว่า 
 
"จากหลานที่ได้อ่านบทความผมครั้งแรก เค้าได้เอาไปให้คนในครอบครัวดูครับ จนกลายเป็นเรื่องเล่าออกไปสู่ภายนอก เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนก็ล้วนรู้สึกดี ภูมิใจในความเป็นลุงก่ำ เป็นการยืนยันว่าคนดีมีคุณค่าเหนือกาลเวลาจริงๆ"
 
           ทำบุญเสร็จผมก็ขอลากลับบ้าน เป็นการจากลากันแบบญาติพี่น้องครับ ผมได้ครอบครัวเพิ่มมาอีก 1 ครอบครัว เป็นมิตรภาพความรักความงดงาม ที่เริ่มมาจากคนเล็กๆที่อัดแน่นด้วยความดีงามมากมายภายใน ที่มีชื่อว่า "ลุงก่ำ" เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องที่เปี่ยมความสุขของทุกคนที่ได้สัมผัส และเรานัดกันว่าเราจะมาพบกันอีกเพื่อระลึกคิดถึงความดีของลุงก่ำครับ
.
.
.
           หลังจากบทความแรกของ "ลุงก่ำ" ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ผลตอบรับเชิงปริมาณถือว่าไม่ได้ขยายออกไปในวงกว้างมากนัก แต่ในเชิงคุณค่านั้นเกิดสิ่งมหัศจรรย์ ขึ้น   ทุกท่านคงเคยได้ยินเรื่องกฏแรงดึงดูดมาบ้างว่า สิ่งดีๆจะดึงดูดสิ่งดีๆ  สิ่งแย่ๆก็จะดึงดูดสิ่งแย่ๆ ผมเคยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอารมณ์แบบว่า "ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่" (คำยอดฮิตที่ทุกความสงสัยจะจบลงด้วยคำนี้)    แต่ท่านผู้อ่านครับ ผมอยากจะบรรยายสักนิดว่าขณะที่ผมเขียนบทความของลุงก่ำนั้นผมขนลุก ซาบซึ้ง ทุกคำผมเขียนมาจากใจ รีดเค้นความรู้สึกผ่านตัวอักษร ผมพยายามสื่อความรู้สึกดีงาม งดงาม ซาบซึ้งที่สุดออกมาผ่านตัวอักษร นั่นเป็นงานเขียนแรก และเป็นงานเขียนหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขเหลือเกินในชีวิตเหมือนได้ระเบิดความรู้สึกดีๆ ออกมาจากหัวใจ
.
.
.
ขอบคุณครอบครัวลุงก่ำทุกท่านครับที่ทำให้ผมรู้ว่า
ผมสามารถ "ลุกขึ้นมาทำและส่งต่อเรื่องดีๆแบบคนอื่นๆได้เช่นกัน"
แม้ไม่เยอะในปริมาณ แต่มันจะเปี่ยมคุณค่าที่พุ่งตรงสู่หัวใจของคนที่ถูกเลือกไว้แล้วอย่างมหัศจรรย์


แต่ที่สำคัญกว่าคือ "ทุกคนลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เล็กๆ แต่เขย่าหัวใจได้" นะครับ
 
ขอบคุณลุงก่ำและครอบครัวมากๆครับ

-------------------------------------------------
 
หากอ่านแล้วมีคุณค่าสังคมนี้แชร์ต่อให้เพื่อน ๆ ได้เลยครับ
ขอบคุณมากครับ  

 
สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผมได้ที่
FB : X small Good : ความดีเล็กๆ แค่เริ่มทำ
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : X Small Good
การส่งต่อความดีงาม นั้นไม่ยาก เพราะความดีงามแทรกอยู่ในทุกสิ่ง แทรกอยู่ในความรักของคนทุกคน เพียงแค่เราใช้ใจมอง  พยายามมองหาสิ่งดีงามจากคนรอบข้างและสิ่งรอบตัว  ดึงพลังสั่นสะเทือนนั้นออกมาแล้วแบ่งปันส่งต่อออกไป ให้พลังสั่นสะเทือนแห่งความดีงามนั้นกระแทกเหนี่ยวนำใจให้ความดีงามของทุกคนเปิดเผยออกมา ร่วมกันทำสิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เปลี่ยนโลกกันครับ ติดตามได้ที่เพจ X Small Good

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles