>> การเป็นกัปตันสายการบิน ทำให้ผมได้เดินทางเกือบครบทุกทวีปทั่วโลก แต่บอกได้เลยว่าไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่จริงๆ ตอนที่กัปตันรุ่นพี่ท่านหนึ่งชวนผมร่วมทริปถ่ายรูป อีเกิ้ลฮันเตอร์ที่เมืองอุยกีร์ ประเทศมองโกเลีย
ผมตอบตกลงทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อีเกิ้ลฮันเตอร์ คืออะไร และอุยกีร์อยู่ตรงส่วนไหนของ มองโกเลีย รู้แค่ว่าจะได้ไปประเทศที่น้อยคนจะได้ไป ได้ดูการฝึกนกอินทรีเพื่อใช้ล่าสัตว์ นอนในเต้นท์ ใช้ชีวิตแบบชาวมองโกลแท้ๆ
- อยู่กลางทุ่ง
- ไม่มีไฟฟ้า
- ไม่มีห้องน้ำ
- อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
- และ ต้องเตรียมอาหารไปให้พออยู่ได้ 8 วัน โอ้โห..แค่ฟังผมก็ตื่นเต้นแล้ว
คณะผมมีทั้งหมด 6 คน เราต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ ฮ่องกง เพื่อต่อเครื่องไป อูรันบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย พอไปถึงเราก็เจออุปสรรคแรกกันเลยครับ ศุลกากรไม่ยอมให้เราผ่านเข้าประเทศ เพราะเห็นว่าเราขนกล้องพร้อมอุปกรณ์มากันเยอะมาก ก็น่าสงสัยอยู่หรอกครับ
- พวกเรา 6 คน
- มีกล้องคนละ 2 ตัว
- เลนส์อีกเกิน 20 ชิ้น
ต้องให้ไกด์ที่มารับเราเจรจาอยู่นานกว่าจะผ่านมาได้ มารู้ทีหลังว่าเขากลัวเราขนมาขาย เราพักที่นี่ 1 คืนเพื่อรอต่อเครื่องบินในประเทศตอนเช้าตรู่ บินข้ามประเทศไปที่ เมืองอุยกีร์ ซึ่งอยู่สุดทางภาคตะวันตกของประเทศ ติดกับชายแดน คาซัคสถาน
+++ และนี่แหละครับ +++ บรรยากาศชนบทของ อุยกีร์ ที่เราไปอยู่กัน บอกเลยว่าของจริงสวยกว่าในรูปนี้หลายเท่ามากครับ ฟ้าสีน้ำเงิน อากาศดีๆ เย็นสบาย ธรมมชาติสวยมาก
ตัวเมือง อุยกีร์ ไม่ใหญ่มากครับ ชนพื้นเมืองที่นี่เรียกว่าชาว คาซัค หน้าตาก็ออกไปทางฝรั่งมากกว่า เอเชีย เนื่องจากมีเชื้อสายชาว คาซัคสถาน หลังจากไปถึงไกด์ก็พาเราไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อน้ำ ขนม อาหารแห้งตุนไว้ ก่อนออกนอกเมืองมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านของ อีเกิ้ลฮันเตอร์ หมู่บ้านแรก
แนวภูเขานี้คือเขตชายแดนคาซัคสถาน แถวนี้ตอนหน้าหนาวอุณหภูมิประมาณ -30 องศาเซลเซียส ครับ
รถที่เราใช้เดินทางที่นี่เป็นรถตู้แบบโบราณของ รัสเซีย สไตล์อึด ถึก ทน นั่งโยกกันไปตลอดทาง สองข้างทางที่นี่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยครับ
- สภาพกึ่งๆ ทะเลทราย
- ถนนเป็นดินปนหิน ระยะทางไม่กี่สิบกิโลเมตร แต่เราใช้เวลาเดินทางกัน 2 ชั่วโมงกว่า
+++ แถมมีช่วงที่รถติดหล่ม +++ ต้องโทรเรียกรถอีกคันมาดึงขึ้นด้วย "ที่สำคัญคือ" ถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ไกด์ท้องถิ่นสำคัญมากครับ เพราะ ชาวคาซัค ครอบครัว อีเกิ้ลฮันเตอร์ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราต้องให้ไกด์ช่วยแปล
>>> อีเกิ้ลฮันเตอร์ <<< คือคำเรียกชนพื้นเมืองชาวมองโกลเลียที่ฝึกนกอินทรีเพื่อใช้ล่าสัตว์พวกหนู กระต่าย หรือแม้แต่สุนัขจิ้งจอก เวลาล่า
อีเกิ้ลฮันเตอร์ 1 คน จะขี่ม้าไปกับนกอินทรี 1 ตัว ขึ้นไปบนที่สูงเพื่อให้นกมองหาสัตว์ที่อยู่ด้านล่าง
ทันทีที่เห็น อีเกิ้ลฮันเตอร์ จะสั่งให้นกอินทรีบินพุ่งเข้าหาเหยื่ออย่างแม่นยำ *กงเล็บที่แหลมคม* และทรงพลังจะจิกจนทะลุผิวหนังเหยื่อเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ ก่อนที่ใช้ปากอันแข็งแกร่งจะมุ่งเป้าจิกเข้าที่เป้าหมายแรก นั่นคือ...ดวงตาของเหยื่อ ถ้าจิกได้เหยื่อก็ไม่มีทางรอด นกอินทรีย์ที่ฝึกมาดีๆ 2 ตัว สามารถล้มหมาป่าได้เลย
ทุกปีช่วงต้นเดือนตุลาคม จะมีเทศกาลแข่งขัน อีเกิ้ลฮันเตอร์กัน อีเกิ้ลฮันเตอร์ หลายสิบคนจากทุกหมู่บ้านจะมารวมตัวเพ่ื่อแข่งใช้นกอินทรีล่าเหยื่อ ถือเป็นเทศกาลที่ใหญ่มากของที่นี่ครับ
แต่คณะผมเลือกที่จะไปก่อนเทศกาลเริ่ม 1 สัปดาห์ เนื่องจากถ้าเป็นช่วงเทศกาลคนจะเยอะมาก นักท่องเที่ยวละหลั่งไหลมาจากทั่วโลก เราก็จะไม่ได้ถ่ายรูปอย่างที่เราต้องการ
ในฤดูร้อนครอบครัว อีเกิ้ลฮันเตอร์ จะออกมากางเต๊นท์สีขาวที่เรียกว่า เกอ อยู่กลางทุ่งโล่ง โดยจะเลือกพื้นที่ที่มีหญ้าเพื่อปล่อยให้ฝูงสัตว์เลี้ยง
ได้กิน หมู่บ้านแรกที่เราไปถึงชื่อ แซกไซ เราไปพักกับครอบครัวมิสเตอร์ไบโบลัท ตอนที่ผมไปนี่ขนาดเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนซึ่งช่วงปลายฤดูร้อนอุณหภูมิตอนกลางคืนยังต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เลยครับ ไกด์บอกว่าถ้าเป็นหน้าหนาวอุณหภูมิจะลดต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส ครอบครัว อีเกิ้ลฮันเตอร์ จะกลับไปอยู่ในตัวหมู่บ้านครับ เพราะไม่สามารถอยู่กลางทุ่งโล่งได้
ครอบครัวไบโบลัทต้อนรับเราอย่างอบอุ่น จัดเกอไว้ให้พวกเราอยู่กัน 1 หลัง พวกเราเตรียมถุงนอนสำหรับอุณหภูมิต่ำมากันทุกคน ภายในเกอจะมีเตาไฟอยู่ตรงกลาง เชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือมูลสัตว์ตากแห้งซึ่งให้ความร้อนได้ดี และไม่มีกลิ่นเหม็นครับเพราะแห้งหมดแล้ว
ตอนหัวค่ำแม่บ้านจะมาจุดเตาใส่เชื้อเพลิงไว้ให้ ทำให้ในเกอค่อนข้างอุ่นครับ แต่ตกดึกพอเชื้อเพลิงหมด อุณหภูมิข้างนอกต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ก็หนาวเอาเรื่องอยู่ ส่วนเรื่องห้องน้ำก็เลือกต้นไม้เนินดินกันตามสะดวกครับ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ
เด็กๆในครอบครัว อีเกิ้ลฮันเตอร์ ขี่ม้ากันเก่งตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบครับ ชาว มองโกเลีย จะให้ความเคารพผู้อาวุโสในครอบครัวมากครับ น้องจะไม่กล้าขัดคำสั่งพี่ ยิ่งถ้าลูกกับพ่อนี่คำไหนคำนั้น ขนาดร่วมโต๊ะอาหารยังไม่ได้เลยถ้าไม่อนุญาต ดูไปก็คล้ายๆวัฒนธรรมไทยเราครับ
+++ นี่คือเต๊นท์ หรือ เกอ ที่เราพักครับ ดูข้างนอกเหมือนไม่ใหญ๋ แต่ข้างในนอน 10 คน สบายๆครับ ผ้าที่ใช้คลุมมี 2 ชั้น กันฝนได้ดี แถมเปิดรับแสงตรงกลางได้ด้วยครับ +++
*** อาหารมื้อแรกสุดพิเศษ *** ที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับเราคือจานนี้เลยครับ "หัวแพะต้ม" ไกด์บอกว่า จะเสริฤกันเฉพาะมื้อพิเศษจริงๆเท่านั้น เสริฟกันเป็นหัวแล้วก็มานั่งแล่กันต่อหน้าเลย ควักสมองมาให้ทานด้วย บอกว่าคือส่วนที่ดีที่สุด ซึ่งผมขอผ่านครับ
ที่นี่จะไม่ทำอาหารด้วยการย่างครับ เขาจะใช้การต้มอย่างเดียว เพราะเขาเชื่อว่าการต้มคือวิธีการทำอาหารที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ใครที่ตั้งใจจะมากินเนื้อย่างเจงกิสข่านเหมือนผม บอกเลยว่าอดครับ...
ส่วนอาหารที่เขาทานกันตามปกติก็คือ...
- ขนมปังและเนยที่ทำจากนมสัตว์
- ไม่มีผัก
- ไม่มีเครื่องปรุงใดๆ
- อีกอย่างคือเขาไม่ดื่มน้ำเปล่ากันครับ...
- ดื่มนมแทน เข้าใจเลยว่าทำไมไกด์ถึงเน้นให้เรานำน้ำกับอาหารแห้งมาครับ
ที่เห็นก้อนสีเหลืองๆคือมันฝรั่ง ส่วนที่เป็นเส้นม้วนๆนั่น ไกด์บอกว่าคือดอกไม้ อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าเป็นดอกไม้ยังไงครับ
>>> สรุปว่ามื้อนี้เราต้องขอบคุณน้ำพริกกุ้งเสียบที่เห็นในภาพครับ หัวแพะจิ้มน้ำพริกกุ้งเสียบ เข้ากันมากกกกก <<<
วันรุ่งขึ้นเราตื่นตี 5...เพื่อขึ้นไปบนเนินเขาที่นัด อีเกิ้ลฮันเตอร์ ไว้ 6 คนเพื่อจะถ่ายรูปกัน ตอนที่เราไปถึงบนเขานั้นยังมืดสนิทอยู่เลยครับ ทำให้เราได้เห็นความสามารถที่น่าทึ่งอีกอย่างของพวกเขา นั่นคือการขี่ม้าตอนกลางคืนที่มืดสนิท แบบไม่มีไฟเลย
พอเริ่มมีแสงอาทิตย์ สิ่งที่เราเห็นคือ อีเกิ้ลฮันเตอร์ ทั้ง 6 คน ขี่ม้า พร้อม อินทรี เรียงแถวขึ้นเขากันมา เรียงตามลำดับอาวุโส สวยมากจริงๆครับ
ไฮไลท์ของเช้าวันนี้คือ...เราได้ดูการสาธิตการจับเหยื่อด้วยครับ อีเกิ้ลฮันเตอร์ จะสั่งในนกบินไปเกาะอยู่บนเนินเขา แล้วเขาจะขี่ม้าลากซากกระต่ายที่ตายแล้วเพื่อให้นกอินทรีเห็นเป็นสัตว์ที่กำลังวิ่ง ทันทีที่ได้รับสัญญาณ นกอินทรีพุ่งทะยานเข้าหาเหยื่อได้อย่างแม่นยำ น่าตื่นเต้นมากครับ
ที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างคือผมได้ลองให้ นกอินทรี มาเกาะแขนด้วย เราต้องสวมถุงมือที่ทำจากหนังม้า และต้องใส่ที่ปิดตา นกอินทรี ไว้ เพราะถ้าถอดออกนกจะตื่นและอาจจะจิกเป้าหมายแรก นั่นคือ ตาเราครับ
ขนาดใส่ถุงมือหนาแล้ว พอให้นกมาเกาะยังรู้สึกได้ถึงแรงจิกของกรงเล็บเลยครับ และถ้าอยากให้อินทรีกางปีก เราต้องชูแขนขึ้นสูงๆค้างไว้ อินทรีตัวนึงหนักประมาณ 10 กิโลกรัม กว่าจะได้รูปสวยๆนี่ยกกันปวดแขนเลย
>>> วันต่อมาเราเปลี่ยนจากบนเขามาที่ริมลำธารกลางทุ่งกว้างกันครับ เป็นบรรยากาศที่สวยมากจริงๆ ผมไม่รู้จะบรรยายให้อ่านกันยังไง ลองดูจากรูปกันครับ <<<
+++ วันนี้เรามารอถ่ายรูป อีเกิ้ลฮันเตอร์ ตอนกำลังขี่ม้าข้ามลำธารครับ น่าตื่นเต้นมากๆ +++
ความสวยงามของที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะกลางวันนะครับ กลางคืนก็สวยมาก
อย่างที่ผมบอก เราอยู่กันกลางทุ่งกว้าง ไม่มีไฟฟ้า เพราะฉะนั้นกลางคืนจะมืดสนิทมาก ทำให้เราได้รูปสวยๆแบบนี้ครับ
เราพักอยู่ที่นี่ 3 วัน ก่อนย้ายไปอีกหมู่บ้าน ระหว่างทางเลยได้เห็นบรรยากาศสวยๆ ต้องแวะถ่ายรูปกันตลอดทางครับ
เรามาพักกับครอบครัวของมิสเตอร์ไซเลา ซึ่งเป็นปรมาจารย์ในการฝึกนกอินทรีที่ชาวอีเกิ้ลฮันเตอร์ในความเคารพนับถือมากครับ ลูกชายมิสเตอร์ไซเลาชื่อ ไบรน่า อายุแค่ 23 ปี แต่เป็นแชมป์อีเกิ้ลฮันเตอร์มาหลายสมัย
ครอบครัวมิสเตอร์ไซเลาเป็นครอบครัวใหญ่ มีหลายเกอในพื้นที่เดียวกัน อยู่กันเกือบ 10 คน เด็กๆหน้าตาน่ารักมากครับ
ที่นี่เราได้เจอลูก นกอินทรี อายุยังไม่ถึง 1 ปี ที่กำลังรอการฝึก ไกด์เล่าให้ฟังว่า ลูกนกจะถูกจับมาเลี้ยงตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน จนอายุประมาณ 1-2 ปี ถึงโตพอที่จะฝึกให้ล่าสัตว์ได้ และจะปล่อยนกคืนสู่ธรรมชาติเมื่อมีอายุประมาณ 6-7 ปี ซึ่งเป็นวัยที่นกยังแข็งแรงและมีสัญชาตญาณในการล่าอยู่ เพื่อให้สามารถกลับไปดำรงชีวิตได้ตามธรรมชาติ
มิสเตอร์ไซเลากับไบรน่ากำลังเตรียมความพร้อมสำหรับเข้าแข่งขันอีเกิ้ลฮันเตอร์ประจำปีนี้ ไบรน่าเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้จะพยายามไม่ให้นกของเขาล่าสัตว์และกินอาหารมากนัก เพื่อให้นกกระหายในการล่าเหยื่อเมื่อถึงช่วงการแข่งขัน
ไบรน่าสาธิตการให้ นกอินทรี จับเหยื่อให้เราดูด้วยวิธีที่ตื่นเต้นกว่าครั้งแรกมากครับ เขาสั่งให้นกบินไปเกาะบนที่สูง ก่อนที่เขาจะถือเหยื่อไว้ในมือแล้วสั่งให้นกบินมาจับเหยื่อในมือเขาอย่างแม่นยำ ตอนที่นกโถมเข้าจับเหยื่อในมือขนาดไบรน่าเองยังรับแรงโถมของนกไว้แทบไม่อยู่
ภูมิประเทศแถบนี้เป็นเขาสูงกลางทะเลทรายต่างจากหมู่บ้านแรก เราก็เลยได้ภาพมุมสวยๆบนเขากัน แต่กว่าจะได้รูปสวยๆ เบื้อหลังก็โหดเอาเรื่องอยู่ ต้องปีกเขาปีนผาไปรอแสงอาทิตย์ ทั้งเสียวทั้งหนาวดีครับ
เราถ่ายรูปกับครอบครับมิสเตอร์ไซเลาอยู่ 3 วันครับ ก่อนกลับเด็กๆเซอร์ไพร์ทเราด้วยการแต่งชุดสวยๆมาร้องเพลงเต้นรำตามแบบพื้นเมืองให้เราดูกันด้วย ประทับใจมากๆครับ
+++ และเราก็ได้แต่งชุดอีเกิ้ลฮันเตอร์เต็มยศ ที่ทำจากหนังสุนันขจิ้งจอก ถ่ายรูปกับนกอินทรีด้วยครับ +++
***ขากลับเราแวะเที่ยว อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน ที่อูลันบาตอร์ เหมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นอนุสาวรีย์ทำจากสแตนเลสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งใหญ่อลังการมากครับ***
ตลอด 6 วันที่ผมอยู่กับครอบครัว อีเกิ้ลฮันเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่ประทับใจมากครับ ได้อยู่ ได้กิน ได้ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ได้สูดอากาศสดชื่น ได้ตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอก ได้ถ่ายรูปสวยๆอย่างที่ชอบ และที่สำคัญ
- ได้สัมผัสวิถีชีวิตของพวกเขา
- ทำให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่บนความเรียบง่าย
- อยู่กับธรรมชาติอันบริสุทธิ์
- ตัดขาดความวุ่นวาย
- อยู่กับตัวเอง มันให้ความสุขเราได้มากๆครับ
...ทริปนี้ผมเสียค่าใช้จ่ายรวมประมาณเกือบ 100,000 บาท ครับ แพงเอาเรื่องอยู่ แต่ผมว่ามันคุ้มมากครับ กับประสบการณ์ชีวิตที่หาที่ไหนไม่ได้แน่นอน
*** ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะครับ ไว้มีโอกาสจะพาไปเที่ยวที่อื่นกันอีกครับ ***
ใครชอบก็ฝากแชร์ส่งต่อให้เพื่อนๆบน Facebook กันต่อด้วยนะครับ
--------------------- หรือเข้ามาทักทายกันได้ที่ FB สาวนตัวผม Turn Jetrider คร้าบบบบบบ -------------------
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ